ทำไมการอ่านถึงทำให้ “ฉลาดขึ้น” และ “ลดความเครียด” ได้ในเวลาเดียวกัน?

9384

สมัยที่คุณยังเป็นเด็ก คุณใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือนับวันนับคืนในการจมอยู่กับหน้ากระดาษและแสงไฟเพื่ออ่านหนังสือที่ตนเองสนใจมาก ๆ เล่มหนึ่ง แต่พอเมื่อถึงคราวที่โตเป็นผู้ใหญ่ เราต่างเฝ้ารอคอยค่ำคืนอันแสนพิเศษเช่นนั้นอีก แต่เพียงแค่จะเจียดเวลามาทำอาหารเย็นทานเองยังยากเลย แล้วการหาเวลาว่างมาอ่านหนังสือ คงต้องลืมไปได้เลย

ถึงอย่างนั้น หากว่าคุณกำลังพยายามก่อร่างสร้างธุรกิจขึ้นมาอยู่ล่ะก็ การอ่านนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากทีเดียว และยังมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากมายที่จะสนับสนุนให้คุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับ การพัฒนาตัวเอง หรือ หนังสือประเภทผู้ประกอบการ

คุณจะค้นพบมุมมองใหม่ๆ

ประสบการณ์ มุมมอง และความรู้จากผู้ประกอบการคนอื่น ๆ ล้วนสามารถช่วยขัดเกลาความคิดในเรื่องการทำธุรกิจของคุณได้ ทั้งนี้ คุณไม่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากการเข้าร่วมกิจกรรมหรือสัมมนาต่าง ๆ ได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการจะประหยัดงบประมาณด้วย ดังนั้น แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือ หนังสือ เมื่อคุณอ่านหนังสือ ความสนใจของคุณจะไม่ถูกรบกวนโดยโทรศัพท์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่จะพุ่งตรงไปยังหน้าหนังสือที่เหล่าผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าสนใจและมีประโยชน์เอาไว้นั่นเอง

การอ่านจะทำให้คุณฉลาดขึ้น

มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ว่าการอ่านดีต่อสมองของคุณ ดังนั้น ถ้าต้องคอยดูแลกิจการ สมองของคุณก็ควรที่จะพร้อมรับมือกับงานเช่นกัน นักจิตวิทยากล่าวว่า ความฉลาดนั้นมีอยู่สามรูปแบบ ได้แก่

  • ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของทั้งตนเองและผู้อื่น
  • เชาวน์ปัญญาที่มีมาดั้งเดิม (Fluid Intelligence) คือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา
  • เชาวน์ปัญญาที่เกิดจากการขัดเกลา (Crystallized Intelligence) คือ ความรู้ที่คุณมีอยู่

นอกจากการอ่านจะสามารถช่วยเสริมสร้างและพัฒนาความฉลาดทั้งสามประเภทนี้ได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อความจำของคุณอีกด้วย จากงานวิจัยหนึ่งในนิตยสาร Neurology ฉบับออนไลน์ ที่ระบุว่า ผู้คนซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความคิด (เช่น การอ่านหนังสือ หรือแก้ปัญหาคณิตศาสตร์) มักจะมีความจำที่ดีและยืนยาวในชีวิตมากกว่า ไม่ว่าจะเริ่มอ่านตั้งแต่เด็กหรือโตแล้วก็ตาม

สมองของคุณจะปลอดโปร่งและผ่อนคลาย

การสร้างธุรกิจมักจะสูบกินทั้งพลังงานและสมาธิของคุณ แม้แต่ช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงานก็ยังเป็นการยากที่จะเลิกคิดถึงเรื่องงานที่ต้องทำในอนาคต ด้วยเหตุนี้เอง การอ่านจึงเป็นเหมือนกับการพักผ่อนจากโลกของผู้ประกอบการ เพราะเมื่อคุณหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน คุณจะได้เดินทางท่องไปยังต่างโลกจนลืมคิดถึงเรื่องอื่นใดไปเลย

ทีมนักวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัย Sussex ค้นพบว่า การอ่านคือวิธีการผ่อนคลายความเครียดที่ดียิ่งกว่าการฟังเพลงหรือเดินเล่นเสียอีก

“อันที่จริงไม่สำคัญเลย ว่าคุณจะหยิบหนังสือประเภทไหนขึ้นมาอ่าน เพราะการที่ปล่อยให้ตัวเองได้เดินเข้าไปสู่โลกของหนังสือโดยสมบูรณ์แบบนั้น จะช่วยให้คุณได้หลีกหนีจากความกังวลและความเครียดจากงานในแต่ละวัน และได้ใช้เวลาไปกับการสำรวจโลกแห่งจินตนาการที่ผู้เขียนนั้นสร้างขึ้น” ซึ่ง ดร.เดวิด เลวิส ผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้กล่าวกับ The Telegraph ต่อว่า  “ทั้งนี้ การอ่านไม่ใช่แค่เพียงการเบี่ยงเบนความสนใจจากความเครียด แต่ยังเป็นอะไรที่มากกว่า การอ่านยังช่วยบริหารจินตนาการของเรา จากข้อความบนหน้ากระดาษไปกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถเข้าถึงสภาวะจิตที่สำคัญได้”

หนังสือประเภทพัฒนาตนเองช่วยได้

ในการดำเนินธุรกิจ บางครั้งมันก็เรียกร้องและกดดันคุณมากจนเกินไป จนทำให้คุณต้องระทมทุกข์กับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างเพื่อนหรือครอบครัว ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพจิต หรือสุขภาพร่างกายไปด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเดินผ่าน ชั้นหนังสือประเภท พัฒนาตนเองในร้านหนังสือไปเฉย ๆ ขอให้พิจารณาเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อนว่า หนังสือพวกนี้ช่วยคุณได้จริงๆ

หนังสือประเภทนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้ผู้คนที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ามีอาการที่ดีขึ้นได้ ซึ่งมหาวิทยาลัย Manchester ได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งโดยมีการกล่าวถึงผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง แต่ได้รับผลดีจากการอ่านหนังสือเหล่านี้เหมือนกับคนทั่วไป โดยนักจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า Bibliotherapy” หรือก็คือ การอ่านบำบัดที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้จริง นั่นเอง

และนี่ก็คือรายชื่อหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและพัฒนาตัวเอง ทั้ง 4 เล่มที่ควรเริ่มอ่านเป็นอันดับแรกๆ

1. พฤติกรรมพยากรณ์ – Predictably irrational โดย Dan Ariely

ในฐานะเจ้าของธุรกิจแล้ว เรามักจะถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจอยู่ทุกวัน ปัญหาก็คือ เรากลับไม่ทันได้ตระหนักว่าการตัดสินใจส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปอย่างเป็นเหตุเป็นผลนัก ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ Dan Ariely ได้อธิบายว่าความคิดของคนเรานั้นทำงานอย่างไร และเหตุใดเราจึงมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล เมื่ออ่านจบ คุณจะสามารถเข้าใจถึงแรงจูงใจของลูกค้า รวมถึงแรงผลักดันที่มีต่อตัวเองได้อย่างชัดเจน

2. คิดแล้วรวย Think and Grow Rich โดย Napoleon Hill

คิดแล้วรวย (Think and Grow Rich) เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มแรก ๆ ที่ตั้งคำถามว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนเรากลายเป็นผู้ชนะ?” มันคือหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจในเรื่องของ การเป็นผู้นำ ลักษณะนิสัยทั่วไปของผู้ชนะ และ ความสำเร็จที่ผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการชื่อดังอย่าง เฮนรี่ ฟอร์ด, โธมัส เอดิสัน และแอนดริว คาร์เนกี

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนไว้ในปี ค.ศ. 1937 แต่บทเรียนจากประวัติศาสตร์ภายในกลับยังคงสดใหม่และปรับใช้งานได้กับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ทำให้ “Think and Grow Rich” ยังคงเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านเสมอ

3. The Checklist Manifesto โดย Atul Gawande

ผู้ประกอบการทุกคนต่างก็ต้องการจะประสบความสำเร็จ แต่หากจะไปให้ถึงความสำเร็จได้นั้น ล้วนจำเป็นจะต้องทำงานเป็นทีม ซึ่ง The Checklist Manifesto จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับว่า เราจะจัดการและผลักดันทีมอย่างไรถึงจะกลายเป็นทีมงานคุณภาพ

Atul Guwande ในฐานะศัลยแพทย์แล้ว เขาเป็นคนที่ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนและสามารถสร้างความหลากหลายของผลลัพธ์เป็นอย่างดี เขาจึงใช้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เขาได้ศึกษาและพบเจอมาจากอุตสาหกรรมมากมาย เพื่อเป็นตัวอย่างในการอธิบายว่าการทำลิสต์รายการสามารถช่วยจัดการและพัฒนาทีมได้อย่างไร

4. จากบริษัทดีสู่ความเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ Good to Great โดย Jim Collins

ในโลกของธุรกิจมักจะมีพื้นที่ให้กับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ Jim Collins จะพาผู้อ่านไปชมบริษัทต่าง ๆ ถึง 28 แห่ง ที่ต่างก็ขยับขยายกิจการจากแค่บริษัทดีๆ ไปเป็นบริษัทดัง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเล่าถึงประสบการณ์และขั้นตอนก่อนที่จะไปสู่ความสำเร็จได้ด้วย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่า การจะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมีที่มาจากการเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เสมอไป เพราะการเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถพาบริษัทของคุณไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ เอาเป็นว่าเรามาสนุกกับการอ่านกันดีกว่านะครับ เพราะไม่มีอะไรในโลกที่จะให้อะไร ๆ ได้เท่ากับการอ่านอีกแล้ว ดังนั้น จะมัวชักช้าอยู่ใย หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนที่จะสายเกินไปกันเถอะ!

 

Source : Entrepreneur