8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคู่ของคุณมี ‘ความสัมพันธ์รักที่สุดแสนมั่นคง’

9150

คำว่า “ความสัมพันธ์” อาจทำให้คุณนึกถึง คืนเดทใต้แสงเทียน การจับมือกันเดินเล่นในทุ่งหญ้าเขียวขจี หรือการป้อนเค้กกันและกันในวันงานแต่ง แต่บางครั้งมันก็อาจทำให้คุณนึกถึงเรื่องแย่ๆ อย่างเช่น การทะเลาะเบาะแว้ง

บางครั้งคุณทั้งคู่อาจจะรู้สึกรักและปรารถนาในตัวกันและกัน แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าความสัมพันธ์ของคุณไปได้สวยหรือกำลังย่ำแย่?

นักจิตวิทยาใช้เวลาหลายปีในการศึกษา ปัจจัยพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว และได้พบปัจจัยสำคัญๆ อยู่หลายอย่าง ดังต่อไปนี้

คำเตือน: แม้ว่าความสัมพันธ์ของคุณจะไม่เข้าเกณฑ์ที่เรานำมาแบ่งปันหมดทุกข้อ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณควรจะเลิกกับคนที่คุณกำลังคบอยู่ แต่นี่เป็นเพียงไกด์ไลน์ที่จะช่วยให้คุณเริ่มสังเกตว่าความสัมพันธ์ปัจจุบันของคุณเป็นที่น่าพึงพอใจและมีความสุขหรือไม่?

1. คุณคิดถึงคนรักบ่อยๆ เวลาไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ในปี 2007 กลุ่มนักวิจัยได้ทดลองสุ่มโทรศัพท์หาคู่แต่งงานกว่า 300 คู่ และถามคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับความรู้สึกของพวกเขา ผลปรากฏว่ามีปัจจัยในความสัมพันธ์อยู่หลายอย่างที่เกี่ยวพันกับความรู้สึกรักอย่างเข้มข้น และสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ที่ค้นพบนั่นก็คือ การที่ยิ่งคิดถึงคนรักของตนบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อได้ว่ารู้สึกรักคนรักมากเท่านั้น

วิจัยชิ้นนี้ยังรวมไปถึงการทดลองติดตามผลกับคู่รักในนิวยอร์กอีกกว่า 400 คู่ ซึ่งพบว่า การไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งอื่นได้เวลาที่คิดถึงคนรักก็สื่อถึงความรู้สึกรักอย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยเฉพาะกับผู้ชาย

2. ปฏิกิริยาหลังจากได้ฟังข่าวดีของคนรัก เป็นไปในทางบวก

Lauren Friedman กล่าวใน Business Insider ว่าความสัมพันธ์ที่มีความสุข ส่วนหนึ่งดูได้จากคู่รักมีปฏิกิริยาต่อข่าวดีของอีกฝ่ายอย่างกะตือรือร้นมากแค่ไหน

เว็บไซต์ Psychology Today ได้จำแนก 4 วิธีที่ผู้ชายตอบรับหลังจากรู้ว่าคนรักได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนี้

  • ตอบรับเชิงสร้างสรรค์อย่างชัดเจน คือการที่เขาสนับสนุนคุณอย่างกะตือรือร้น “เยี่ยมไปเลย ที่รัก! ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องทำได้แน่ คุณทุ่มเทมามากจริงๆ”
  • การตอบรับเชิงสร้างสรรค์แบบไม่แสดงออกมาก คือการสนับสนุนที่ไม่มากจนเกินไป เขาจะยิ้มแบบอบอุ่นให้และตอบกลับว่า “ข่าวดีนะเนี่ย”
  • การตอบรับแบบไม่สร้างสรรค์อย่างชัดเจน เป็นการกล่าวขัดและทำให้เสียอารมณ์ อย่าง “งั้นแปลว่าคุณก็ต้องทำงานนานกว่าเดิมใช่ไหม แน่ใจหรอว่าจะทำไหว?”
  • และสุดท้าย การตอบรับแบบไม่สร้างสรรค์แต่ไม่ได้แสดงออกมาก นั่นก็คือการที่เขาไม่ได้ใส่ใจข่าวดีของคุณเลยนั่นเอง อย่างเช่น “อ๋อ…จริงหรอ เอ้อ! นี่คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนผมกำลังขับรถกลับบ้านวันนี้!?”

น่าจะเดากันได้ง่ายๆ ว่า การตอบรับเชิงสร้างสรรค์อย่างชัดเจน นั่นแหละที่น่าจะมีผลให้คนเราพึงพอใจกับ ความสัมพันธ์มากที่สุด

3. คุณทั้งคู่แยกกันเพื่อไปใช้เวลากับเพื่อนๆ บ้าง

ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ผู้คนเริ่มตั้งความคาดหวังกับคู่แต่งงานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ในฐานะหุ้นส่วนเรื่องเงินทอง คนดูแลปกป้อง หรือเพื่อนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนที่จะช่วยเติมเต็มตัวตนของกันและกันด้วย

Eli Finkel นักจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ แนะนำว่า หากคุณอยากมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข คุณไม่ควรจะคาดหวังให้คู่รักของคุณมาเติมเต็มทุกความต้องการในชีวิต แต่ควรตามหาด้วยตัวเองผ่านงานอดิเรก เพื่อนฝูง และการงานมากกว่า

4. คุณทั้งคู่มีอารมณ์ขันที่คล้ายคลึงกัน

Neil Clark Warren นักจิตวิทยาและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ eHarmony ได้กล่าวกับ Business Insider ว่า “อารมณ์ขันเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น”

Erin Brodwin จาก Business Insider กล่าวว่า การมี “ภาษาส่วนตัว” ที่ใช้กับคนรัก เช่น การตั้งชื่อเล่นหรือมุกตลกที่เข้าใจกันแค่สองคนจะช่วยให้เกิดความผูกพันธ์และความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้

5. พวกคุณแบ่งกันทำงานบ้านเท่าๆ กัน

ผลของการสำรวจโพลปรากฏว่า 62% ของคนวัยผู้ใหญ่บอกว่า การแบ่งกันทำงานบ้านเป็นส่วนสำคัญมากของชีวิตคู่ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวที่กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชายและหญิงต่างก็เห็นเป็นเสียงเดียวกัน

แต่ถึงแม้ว่าผู้ชายจะเริ่มทำงานบ้านมากขึ้นกว่าในอดีต แต่งานวิจัยก็พบว่า งานบ้านส่วนใหญ่ยังคงเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายหญิงอยู่ดี

6. พวกคุณได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน

ความสัมพันธ์

จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1993 นักวิจัยได้สำรวจเกี่ยวกับคุณภาพของความสัมพันธ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคู่แต่งงานวัยกลางคนกว่า 50 คู่ และแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก เลือกที่จะทำกิจกรรมใหม่ๆ และน่าตื่นเต้นด้วยกันเป็นเวลา 90 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น ออกไปเที่ยวหรือไปเต้นด้วยกัน อีกกลุ่มหนึ่งเลือกใช้เวลา 90 นาทีต่อสัปดาห์ในการทำกิจวัตรร่วมกัน เช่น การออกไปดูหนัง ส่วนกลุ่มสุดท้ายนั้นเลือก ใช้ชีวิตคู่แบบเดิมของตน

และเมื่อผ่านไปสิบสัปดาห์ กลุ่มนักวิจัยพบว่า คู่แต่งงานที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นร่วมกันนั้น เป็นกลุ่มที่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตนมากที่สุด

เช่นเดียวกับงานวิจัยใน The New York Times เมื่อปี ค.ศ. 2008:

“Dr. Aron หนึ่งในกลุ่มนักวิจัยกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าความแปลกใหม่จะสามารถกอบกู้ชีวิตแต่งงานที่อยู่ในขั้นวิกฤตได้ แต่สำหรับคู่ที่เบื่อหน่ายชีวิตคู่เป็นครั้งคราว การเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับชีวิตคู่ก็เป็นการเติมไฟรักให้กลับมาลุกโชนได้อีกครั้ง”

7. พวกคุณไม่มีปัญหารุนแรงกันบ่อยๆ

กลุ่มนักวิจัยได้ทำการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่เดทกว่า 400 คู่ เพื่อแบ่งประเภทของ ความสัมพันธ์ ได้แก่ คู่รักดราม่า คู่รักจอมขัดแย้ง คู่รักเข้าสังคม และ คู่รักที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เป็นที่หนึ่ง

Gary Lewandowski  นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ได้อธิบายในเว็บไซต์ Science of Relationship ไว้ว่า สำหรับคู่รักดราม่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขามักจะขึ้นๆ ลงๆ และมีปัญหากันอยู่เสมอ

ต่อมา คู่รักที่ให้ความสำคัญเรื่องความสัมพันธ์เป็นที่หนึ่งจะเป็นคู่ที่มองกันในแง่บวกและมักจะมีปัญหาเมื่อไม่สามารถใช้เวลาร่วมกันบ่อยๆ ได้

ส่วน คู่รักเข้าสังคม นั้น จะมีทิศทางของความสัมพันธ์ที่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของเพื่อนฝูงและครอบครัวของทั้งคู่

สุดท้าย คู่รักจอมขัดแย้ง เป็นคู่ที่มักจะทะเลาะกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับระดับความผูกมัดในความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ผลการวิจัยสรุปว่า คู่รักที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เป็นอันดับแรก มักจะมีแนวโน้มจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างจริงจัง ส่วนคู่รักดราม่าก็เป็นประเภทที่มีแนวโน้มการเลิกรากันมากที่สุดด้วย

8. พวกคุณรู้วิธีคืนดีกัน หลังจากการทะเลาะ

John Gottman นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์อีกคนหนึ่งกล่าวกับ Business Insider ว่าคุณสมบัติที่คนรักพึงมีร่วมกัน อันดับหนึ่งหากอยากประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ก็คือ “การคืนดีหลังจากทะเลาะกัน”

เขากล่าวว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเลย แต่เป็นเรื่องวิธีจัดการกับความขัดแย้งเสียมากกว่า

“สิ่งหนึ่งที่ผู้คนมีความสัมพันธ์และชีวิตแต่งงานที่ดีมีร่วมกันคือ การสื่อสารกัน การรับฟังเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกแย่ และสิ่งที่เราควรทำเวลาที่อีกฝ่ายมีปัญหาก็คือ วางมือจากสิ่งที่กำลังทำ แล้วหันมารับฟัง พูดคุย ช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยไม่ปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ และไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ใจของอีกฝ่าย”

 

Source : Business Insider